วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

My journey on the Cruise Ship

  Part 2 : 3ปีที่อิชั้นรอคอยย

    จนวันนึงช่วงกลางเดือนสิงหาเอเจ้นเก่าเราติดต่อมา ถามเราว่ายังอยากไปทำงานอยู่มั้ยเค้าจะนัดสัมภาษณ์ให้ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ตอนแรกคิดไม่ตกเอาไงดี แต่ก็ตอบตกลงเพราะคิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย ถ้าไม่ได้ไปทำงานก็แค่ขอรีฟันเงินคืน ตอนนั้นคือไม่เชื่อใจเอเจ้นมากๆ คิดว่าเค้าจะแค่ขายฝันหรือเปล่าเพราะตอนนั้นกลุ่มคนที่ขอรีฟันเงินคืนยังไม่มีใครได้เงินคืนครบสักคน หรือจะแค่ทำเพื่อยื้อเวลาให้เรารีฟันเงินช้าลง แต่ไหนๆก็ไหนๆ ลองดู สัมฯออนไลน์อยู่ห้องไม่ได้เสียค่ารถไปไหน จะว่าไม่เชื่อเอเจ้น แต่ชั้นก็ตื่นเต้นมากกกค่ะ ซ้อมบทสัมภาษณ์ หัดแต่งหน้าทำผม หามุมนั่งตรงไหนดี แสงสี เอยใด ค่ะ ชั้นสัมฯผ่าน กี๊สสสสส แล้วเร็วมาก คือพอสัมฯผ่าน เค้าส่งเมลมายืนยัน คือเป็นเมลในนามบริษัทเลย ตอนนั้นคือมั่นใจแล้ว ว่าผ่านจริงๆ ใดๆคือว่าบาปเอเจ้นไว้เยอะมาก 555 จากนั้นน่าจะประมานอาทิตย์กว่าๆ ก็ได้สัญญาจ้างงาน ของแทร่ 555 ใบนี้คือการันตีแล้วว่าจะได้ไปจริงๆแล้วนะ ในเมลก็แจ้งรายละเอียดว่าต้องมีเอกสารอะไรบ้างที่ต้องเตรียมให้เรียบร้อยก่อนวันเดินทาง อิชั้นก็ไม่รอช้า เริ่มไปทำทีละอย่าง สองอย่าง ระยะเวลาที่เค้าให้เตรียมเอกสาร คือตั้งแต่วันที่ได้อีเมลว่าต้องมีอะไรบ้าง จนกำหนดเดินทางประมาน 6 เดือน เป็นช่วงที่ใจจดใจจ่อมาก และค่ะ อิชั้นติดโควิดช่วงนี้แหละ รอดมานาน ติดจนได้ แต่ยังดีที่อาการไม่เลวร้ายมาก เหมือนไข้หวัด ยังถือว่ามีแต้มบุญ 

  มาลุ้นอีกทีก็ตอนทำวีซ่าค่ะ ข้อมูลในเน็ตน้อยมากกก อีกตามเคยมีแต่วีซ่าท่องเที่ยวรีวิวกันแน่นๆไปเลยย วีซ่าทำงานมีกี่โมง ชั้นก็ได้ไกด์ไลน์จากเอเจ้นบ้าง ถามพี่ที่เค้าผ่านแล้วบ้าง ส่วนอิเพื่อนชั้นนั้น ใช้เงินแก้ปัญหาไปแล้วค่ะ จ้างเค้าทำไปเลย ส่วนอิชั้นนั้น เสียดายตังเลยอยากลองเองดูสักตั้งก่อน อิชั้นก็มะงุมมะหงาหราไปจนเสร็จ แต่ก็ยังไม่มั่นใจเลยได้หาเอเจ้นมาตรวจสอบข้อมูลให้ พี่เค้าก็ใจดีรับตรวจให้กับรับจองในระบบให้เบ็ดเสร็จ เค้าคิดแค่ 500 กราบที่ตักงามๆ ตอนนั้นกลัวมาก เพราะอิเพื่อนนี่แหละค่ะ ฉีดยาเก่งงง มันน่ากลัวแบบนั้นแบบนี้ สัมภาษณ์ยาก มีคนไม่ผ่าน ต้องไปสัมฯใหม่ บางคนสัมฯตั้งหลายรอบยังไม่ผ่านเลย บลาๆๆ       กลัวสิทีนี้ภาษาเราก็ยังไม่เก่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องเข้าแล้ว บนค่ะ บนบานไปเลยที่ไหนที่เราเชื่อ ที่เราเคารพบูชา เอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งทางใจไปเลยย และด้วยบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือท่านได้ประสานมือกันช่วยอิชั้นแล้วค่ะ ผ่านวีซ่าค่าา ก่อนไปสัมฯ แบกความกดดันไปเยอะมาก กลัวมากกกกก เป็นด่านเดียวที่กลัวสุดๆ เพราะฟังเค้ามาเยอะ 555 แล้วช่วงที่เราอยู่ในคิวสัมภาษณ์ บางครอบครัวใช้เวลานานมาก บางคนขอดูเอกสารเพิ่มถามนาน บางคนไปเที่ยวมาแทบจะรอบโลก พาสปอร์ตมีมากว่า 5 เล่ม ก็ยังไม่ผ่าน(วีซ่าท่องเที่ยว) แต่พอเอาเข้าจริง คำถามไม่ได้ยากค่ะ ถามแค่ 3 คำถาม ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พอผ่านเจ้าหน้าที่พูดไทยกับอิชั้นว่า "ยินดีด้วยผ่านแล้วครับ" 5555 ทั้งดีใจทั้งตกใจที่เค้าพูดไทยด้วย โอ้ยย  ขาสั่นไปหมด แล้วโล่งสุดๆไปเลย อาจจะเพราะของเราบริษัทค่อนข้างน่าเชื่อถือ เลยทำให้มันง่าย

My journey on the Cruise Ship

 Part 1: Let start ฝันที่จะเดินทางรอบโลกโดนสกัดขาหัวทิ่มด้วยโควิด!!

    ชั้นก็อีนึงที่ครูถามตอนเด็กๆ "ความฝันคืออะไร" แล้วตอบเท่ๆว่า "เที่ยวรอบโลก" แอร้ยย มันเท่เห้ยย 555  ด้วยความที่คิดว่าตัวเองชอบเที่ยวก็ลงเรียน การท่องเที่ยว ไปเลยสิคะ มันไม่ใช่แค่ได้ไปเที่ยวสวยๆ เกร๋ๆค่ะสาวว กว่าจะกระชากลากถูกันจนจบสี่ปีเอาเรื่องอยู่

 หลังจากเรียนจบก็ลุ่มๆดอนๆ ทั้งเรื่องงาน เรื่องรักเอยเตยไม่หอม อายุชั้นก็เริ่มมาไกลแล้วก็ตัดสินใจสักทีว่าจะไปโบยบินค่ะ (จริงๆคือชั้นอกหักค่ะ เลยตัดสินใจเฉียบขาดเฉยยย)                  ก็สมัครครอสเพื่อไปเรือสำราญค่าา สมัยนั้น(2017-2018) ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมันน้อย หาเจออยู่ไม่กี่ที่ ด้วยความที่ความรู้เรื่องนี้มันน้อยอ่ะ น้อยกว่าขี้เล็บ หาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต 100% เอเจ้นที่เราดูมีให้เลือก 2 ที่ กทม.กับภูเก็ต เลือก กทม.ก็ต้องย้ายหอ ไหนๆก็ต้องย้ายอยู่แล้ว ก็ย้ายไปภูเก็ตเล้ยย จบๆ (จริงๆช้ำรักอยากหนีไปไกลๆ 555) ตอนนั้นคือมันต้องฝึกงานโรงแรม เลยคิดว่างานโรงแรมมันต้องภูเก็ตสิ ไม่เคยไปด้วย หาโอกาสไปเที่ยวด้วยเลย ก็ฉายเดี่ยวไปเลยไปตายเอาดาบหน้าที่แท้ เพื่อนก็ไปหาเอาข้างหน้า ไปถึงจริงๆก็ตะกุกตะกักอยู่ คือแบบเราวาดภาพไว้ดีหน่อยแหละ แต่พอไปมันไม่เหมือนภาพที่วาดอ่ะ ทุกๆเรื่องเลย ทั้งตอนเรียนแล้วก็ตอนหางาน แล้วก็มาได้ทำงานจริงในห้องอาหารในโรงแรมก็เรื่อยๆ เนื้องานไม่ได้ยากคือมันเป้นงานสกิล ครูพักลักจำได้ ดูรุ่นพี่ทำก็ทำตามได้ แต่ยากตรงภาษา(อังกฤษ) ลูกค้า 90% คือต่างชาติ แล้วชั้นทักษะด้านภาษาคือน้อยมาก แล้วเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มที่กลัวการพูดผิด เลยทำให้ไม่กล้าใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้ใช้คือการไม่ได้ฝึก คือข้อเสียสุดๆในการเรียนภาษาเลย มาทำงานไม่ได้ทำให้ภาษาเราดีขึ้นนะ ยังใช้การท่องจำอยู่เหมือนเดิม เวลาคุยกับลูกค้าคือมีแค่คำถามเบสิคที่ต้องถาม-ตอบอยู่ทุกๆวันคำตอบก็นั่นแหละ ท่องจำเอา ช่วงนั้นงานเรือก็เงียบมาก แทบไม่มีที่ไหนเปิดรับเลย เป็นช่วงดาวน์เฉย (ชั้นก็เลือกมาได้ถูกช่วงอ่ะเนอะ) ก็คิดแค่ว่ามีเวลาให้เราได้เตรียมตัว เพราะเอเจ้นฝังหัวว่าต้องมีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งที่เราจะไปอย่างน้อย 6 เดือนในโรงแรมห้าดาว อ่ะชั้นก็ชิวๆอ่ะเนอะคิดว่าตัวเองยังไม่เก่งภาษาพอด้วยน่ะแหละ งูๆปลาๆสุดๆ 

 จนปลายปี 2019 เอาล่ะจ่ะ นังโควิดตัวร้ายมันมาจ่ะแล้วตอนนั้นเองชั้นเพิ่งได้โอกาสไปสัมภาษณ์กับเอเจ้นของ RCCL แล้วผ่านสัมภาษณ์รอบแรกแล้วเรียบร้อย ตอนนั้นดีใจมากกก เหมือนมันจะได้ไปอยู่แล้วอ่ะ แค่รอสัญญาจ้างงานมา แล้วอิโควิดก็ดับฝันชั้น พลิกผันอีกแล้วต้องย้ายออกจากภูเก็ตด่วนๆ เพราะเค้าจะปิดเกาะค่าา ล็อกดาวน์เกาะภูเก็ตจังหวัดแรกในไทยตอนนั้นงานโรงแรมก็คือสิ้นหวังแล้ว โรงแรมอยู่ได้เพราะมีลูกค้า แล้วภูเก็ตโดนล็อคดาวน์เอาลูกค้าไหนมา โควิดเริ่มระบาดแรง เพราะมีคนตายเยอะขึ้นๆ ระหกระเหินกลับมาตั้งหลักที่กรุงเทพอีกรอบก็ยังดีที่มีงานทำต่อเลย สู้ชีวิตไปพร้อมๆกับสู้อิโควิด 2-3ปี ที่โควิดมันโคจรอยู่รอบๆตัว อิชั้นก็เปลี่ยนงานสู้ไปเล้ย 3-4งาน ตอนนั้นความหวังความคิดที่จะไปทำงานเรือ มันแทบไม่มีแล้วทางเอเจ้นก็เงียบมากก ไม่เคยอัพเดตอะไรเลยฟีดเพจเงียบ ไม่มีโพสอะไรทั้งนั้น แต่อีกเอเจ้นนึงเค้าเริ่มโพส เริ่มเคลื่อนไหวแล้วอ่ะ เริ่มมาขายฝันแล้วว่ามีการเปิดรับสมัครตำแหน่งนั้นนี้ ส่วนเอเจ้นเรากริบ.. จนเริ่มรวมตัวกันทวงค่าดำเนินการคืน(ค่าดำเนินการเค้าการันตีสามารถรีฟันคืนได้เต็มจำนวนหากไม่ได้ไปทำงาน) ชั้นก็หนึ่งในนั้นที่ลงชื่อขอเงินคืน แล้วก็หันมาหางานที่จะทำไปยาวๆ เพราะอายุเริ่มเยอะหางานเริ่มยาก ก็ได้งานของรถไฟฟ้า จากสมัครข้อเขียนผ่านก็รออีก รอเซ็นสัญญาอีกจาก 3 เดือน เป็น 6 เดือน รออออค่ะ ก็คือทำงานอีกที่รอวนไป ช่วงที่บ.เรืออื่นๆกำลังเปิดรับ เพื่อนที่เคยสัมฯ ด้วยกันก็มาชวนไปสัมฯ บริษัทที่เค้าเปิดรับอยู่ แต่ด้วยความที่เราใจร้อนตอนนั้นหลังจากที่เราสัมฯผ่านรอบแรก เราก็ไปอบรม STCW ไว้แล้ว ถ้าเราไปเริ่มสัมฯกับเอเจ้นที่เปิดรับอยู่เราต้องไปอบรมใหม่คือ ต้องจ่ายเงินอีกรอบ ซึ่งเราเหนื่อยแล้ว เราไม่อยากนับ 1 ใหม่ ใจคือไม่เอาแล้วตอนนั้น การเริ่มใหม่ คือค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่ากิน ค่าเสื้อผ้า ค่าเอกสาร ค่าสอบ ค่าอบรม คือต้องจ่ายอีกรอบ ก็เลยบอกเพื่อนไปว่าเราจะรอของ RCCL ถ้าภายในปีนั้น (2022) ยังไม่มีความคืบหน้าเราอาจจะยอมแพ้ คือมันยังมีงานรถไฟฟ้าที่เรารออยู่ด้วยนั่นแหละ หรืออาจจะเบนเข็มไปเกาหลี อีกอย่างงานที่ทำรออยู่ตอนนั้นก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เพื่อนก็มาอัพเดทนู่นนี่นั่นให้ฟังอยู่เรื่อยๆ ว่าเค้าไปสัมฯมาผ่านแล้ว กำลังทำวีซ่าเอยใด บลาๆๆ เราก็ตื่นเต้นไปกับเค้านะ แต่ถามว่าเราอยากไปอยู่มั้ย อยากไปอยู่ แต่ไม่อยากไปเริ่มต้นนับ 1 ใหม่กับอีกเอเจ้นนึง